วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

เพลง



เพลง แผลไม่มีวันหาย ของวง Yes'Sir Days

เพลงนี้มีความหมายมากๆๆๆ ลอง ฟัง ดู กันนะ

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยุดของ Smart Phone

Smart Phone คืออะไร


Smart Phone หมายถึงโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมของ PDA เข้าไป ทำให้สามารถมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น รับส่งอีเมล์ มีปฏิทิน จัดทำตารางนัดหมาย และ contact เป็นต้น เรียกได้ว่า Smart Phone เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมเลยทีเดียว

คุณสมบัติเด่นของ Smart Phone

ระบบปฏิบัติการ หรือ OS (Operating System) เป็นระบบที่ช่วยให้การทำงานของโทรศัพท์มีประสิทธิภาพ และเป็นตัวกำหนดว่าโปรแกรมต่างๆ ที่จะสามารถติดตั้งเข้ากับ Smart Phone ได้หรือไม่ด้วย สำหรับระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยมใช้งานบน Smart Phone ได้แก่ Symbian OS, Windows Mobile, Palm OS หรือแม้กระทั่ง Linux OS
1.การเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สาย นี่เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะทำให้ smart-Phone เช่น นั่นคือการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ PDA โทรศัพท์เครื่องอื่น พริ้นเตอร์ หรือกล้องดิจิตอล ผ่านทาง อินฟราเรด บลูทูธ หรือ Wi-Fi
2.สามารถรองรับไฟล์ Multimedia ได้หลากหลายรูปแบบ เช่นไฟล์ ภาพ,ภาพเคลื่อนไหว เช่นภาพเคลื่อนไหวสกุล .gif เสียง ซึ่งก็จะมีหลายรูปแบบ เช่น ไฟล์ Wave, MP3, Midi ต่อไปเป็นไฟล์วิดีโอ ซึ่งจะสามารถรองรับภาพเคลื่อนไหว หรือภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง เช่นสกุล .3gp .mp4 เป็นต้น

อุปกรณ์ต่อพ่วงที่ใช้สำหรับ Smart Phone

  • หูฟัง Bluetooth
    หูฟังแบบไร้สาย ที่อาศัยเทคโนโลยี Bluetooth ในการสื่อสาร โดยสามารถพูดคุยได้ โดยไม่จำเป็นต้องวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวเอรา ปกติจะสามารถใช้งานในระยะประมาณ 10 เมตร ทั้งนี้ขึ้นกับประสิทธิภาพของ Bluetooth
  • แป้นพิมพ์ - Keyboard ช่วยให้เกิดความสะดวกในการพิมพ์ข้อความ โดยเฉพาะอีเมล
  • จอยสติ๊ก JoyStick สำหรับเล่นเกมส์บนมือถือ เพื่อความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
  • อื่นๆ อีกมากมาย

PDA Phone, Palm Phone คืออะไร

  • การนำ PDA หรือ Pocket PC มาเพิ่มความสามารถในการใช้งานโทรศัพท์
  • ส่วน Palm Phone ก็คือเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Palm มาเพิ่มความสามารถในการใช้งานโทรศัพท์


โทรศัพท์แบบ Smart Phone

  • Dopod 838 PDA Phone
  • HTC Smart Phone?
  • Motorola A1000
  • Nokia 6680
  • O2 XDA II
  • Samsung i600
  • Sony Ericsson P800, P900

** ด้วยการทำงานของ Smart Phone ที่มีความหลายหลาย และใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ สามารถติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติมเข้าไปได้ ดังนั้น ปัญหาที่อาจเกิดตามมาโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ นั่นคือ ไวรัส ซึ่งจะมีลักษณะการทำงานคล้ายๆ กับไวรัสคอมพิวเตอร์ คงต้องชั่งใจ สักนิด ก่อนเลือกซื้อ..


แหล่งที่มา : http://it-guides.com/mobile-phone/mobile-technology/what-is-smart-phone
                 
                 http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2389-smartphone-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html                  

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)


(Parity Bit)


ถึงแม้เลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอรืมีอัตราความผิดพลาดต่ำ เพราะมีความเป้นไปได้เพียง 0 หรือ 1 เท่านั้นแต่อาจเกิดข้องบกพร่องได้ภายในหน่วยความจำดังนี้ บิตรตรวจสอบ หรือพาริตี้บิต จึงป็นบิตที่เพิ่ม เข้ามาต่อท้ายอีก  ซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจความแม่ยำและความถูกต้องของข้อมูลในคอมพิวเตอร์

สำหรับบิตตรวจสอบอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ
1.           การตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Even Parity
2.           การตรวจสอบบิตภาวะคี่ (Odd Parite


_______________________________________________________________________________


Moore's law คืออะไร
กฏของมัวร์ หรือ Moore's   law       คือ กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่ จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ Intel  ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor  นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้ moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน

กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น
 ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม
กฎของมัวร์ (Moore's Law)  
       
ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ 


           พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม

การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์ 
_____________________________________________________________________________
        คําว่า “กฎของมัวร์” นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์   Caltech   นามว่า    Carver Mead
ซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้เป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965  ต่อมามัวร์จึงได้
เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่ขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975


รหัสแทนข้อมูล รหัส ASCII และ รหัส Unicode


รหัสที่เป็นมาตรฐาน คือ รหัส ASCII             
          American Standard Code For Information Interchange (ASCII) อ่านว่า แอส-กี้ เป็นรหัสที่พัฒนาขึ้นโดยสถาบันมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (American National Standard Institute: ANSI อ่านว่า แอน-ซาย) เรียกว่า ASCII Code ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป รหัสนี้ได้มาจากรหัสขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ (International Standardization Organization: ISO) ขนาด 7 บิท ซึ่งสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกันได้ถึง 128 รหัส (ตั้งแต่ 000 0000 ถึง 111 1111) โดยกำหนดให้ 32 รหัสแรกเป็น 000 0000 ถึง 001 1111 ทำหน้าที่เป็นสั่งควบคุม เช่น รหัส 000 1010 แทนการเลื่อนบรรทัด (Line Feed)ในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น และอีก 96รหัสถัดไป (32-95) ใช้แทนอักษรและสัญลักษณ์พิเศษอื่น รหัส ASCII ใช้วิธีการกำหนดการแทนรหัสเป็นเลขฐานสิบ ทำให้ง่ายต่อการจำและใช้งาน นอกจากนั้นยังสามารถเขียนมนรูปของเลขฐานสิบหกได้ด้วย ดังนั้น ASCII Code จึงเป็นรหัสที่เขียนได้ 
แบบ เช่นอักษร A สามารถแทนเป็นรหัสได้ดังนี้
สัญลักษณ์
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานสิบหก
A
65
100 0001
4 1

รหัส ASCII สามารถใช้แทนข้อมูลอักขระและคำสั่งได้มากขึ้น และมีการขยายเป็นรหัสแบบ 8 บิท

ตารางรหัส ASCII แทนตัวอักษร


วิธีอ่านตาราง ASCII

1. ชี้ตรงตัวอักษรที่ต้องการแทนรหัส เช่น A
2. อ่านค่ารหัสในตารางแนวตั้งตรงตำแหน่ง b7 b6 b5 และ b4 ค่าที่ได้ คือ 0100
3. อ่านค่ารหัสในตารางแนวนอนตรงตำแหน่ง b3 b2 b1 และ b0 ค่าที่ได้ คือ 0001
4. ดังนั้นรหัสแทนข้อมูลของตัวอักษร ก คือ 0100 0001
_________________________________________________________________________

Unicode

        ยูนิโค๊ด คือ รหัสคอมพิวเตอร์ใช้แทนตัวอักขระ สามารถใช้แทน ตัวอักษร,ตัวเลข,สัญลักษณ์ต่างๆ ได้มากกว่ารหัสแบบเก่าอย่าง  ASCII ซึ่งเก็บตัวอักษรได้สูงสุดเพียง 256 ตัว(รูปแบบ) โดยUnicdoe รุ่นปัจจุบันสามารถเก็บตัวอักษรได้ถึง 34,168 ตัวจากภาษาทั้งหมดทั่วโลก 24 ภาษา โดยไม่สนใจว่าเป็นแพลตฟอร์มใด ไม่ขึ้นกับโปรแกรมใด หรือภาษาใด unicode ได้ถูกนำไปใช้โดยผู้นำในอุตสาหกรรม 
เช่น Apple, HP, IBM, Microsoft, Unix ฯลฯ และเป็นแนวทางอย่างเป็นทางการในการทำ ISO /IEC 10646 ดังนั้น Unicode จึงถือเป็นมาตรฐานในการกำหนดรหัส สำหรับทุกตัวอักษร ทุกอักขระ  unicode ทำให้ข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายไปมาในหลายๆ ระบบ ข้ามแพลตฟอร์มไปมา หรือข้ามโปรแกรมได้อย่างสะดวก โดยไร้ข้อจำกัด Unicode ต่างจาก ASCII คือ ASCII เก็บ byte เดียว แต่Unicode เก็บ 2 byte ซึ่งข้อมูล 2 byte เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล สามารถเก็บข้อมูลได้มากมายหลายภาษาในโลก 
อย่างภาษาไทยก็อยู่ใน Unicode นี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นรหัสภาษาไทยเอาไปเปิดในภาษาจีน ก็ยังเป็นภาษาไทยอยู่ ไม่ออกมาเป็นภาษาจีน เพราะว่ามี code ตายตัวอยู่ว่า code นี้จองไว้สำหรับภาษาไทย แล้ว code ตรงช่วงนั้นเป็นภาษาจีน ตรงโน่นเป็นภาษาญี่ปุ่น จะไม่ใช้ที่ซ้ำกัน เป็นต้น
_____________________________________________________________________________

ANON CHAIYASUK

แทนด้วยรหัส ASCII ดังนี้

A=01000001 N=01001110 O=01001111 N=01001110 C=01000011 H=01001000 A=01000001 I=01001001 Y=01011001 A=01000001 S=01010011 U=01010101 K=01001011


ใช้พื้นที่จัดเก็บจำนวน 104 bit 13 byte









วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุคของคอมพิวเตอร์


ยุคของคอมพิวเตอร์ 

2. ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกได้เป็นยุคๆ ตามช่วงเวลา และมีเหตุการณ์สำคัญๆ รวมถึงจุดเปลี่ยนแปลงเด่นๆ ให้นักศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล และสรุปสาระสำคัญ 



คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)มาร์ค วัน                                                 อินิแอค                                                                                                     ยูนิแวค
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2

คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน






คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3

 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง  






                                                           คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4

คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง

                                                                   
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5

คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง














สรุป: คอมพิวเตอร์จะแบ่ง ออกเป็น 5 ยุคแต่ละยุคแต่ละสมัยใช้คอมพิวเตอร์ที่ต่างกันมาก
ยุคที่1ใช้แบบหลอดไฟฟ้าแล้วใช้คำสั่งเป็นตัวเลข
ยุคที่2ใช้แบบ ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก
ยุดที่3เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ 
ยุคที่4เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะ
ยุคที่5เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์


บุคคลสำคัญ

ใบงานที่ 1 


1.บุคคลต่อไปนี้มีความสำคัญอย่างไร ในประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
จงอธิบาย โดยระบุถึงปีที่เกิดเหตุการณ์ และผลงานที่สำคัญ



A.Charles Babbage

คงจะเป็นการดีที่จะกล่าวถึงที่มาหรือต้นตระกูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ว่าเป็นมาอย่างไร เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจคอมพิวเตอร์มากขึ้น คอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการมาจากนิ้วมือมนุษย์ ที่ใช้นิ้วในการนับตัวเลข ใช้ไม้ขีดเขียนบนพื้นดิน หรือใช้ลูกหินมาเรียงต่อกัน
ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นด้วยการใช้เชือกรอยต่อกัน จัดเรียงให้เป็นระบบ (คล้ายกับลูกคิด) หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการนับ ลักษณะใหญ่ที่คิดกันมักจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีกลไก (Mechanics) ที่ประกอบด้วยฟันเฟื่อง รอกและคาน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่กึ่งอัตโนมัติ ที่สามารถคำนวณขั้นพื้นฐานได้ ไม่ว่าจะเป็น บวก ลบ คูณ หาร

ปี 1822 ชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ทำการออกแบบเครื่อง Difference Engine โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เครื่อง Difference Engine นี้สร้างไม่เสร็จ เพราะแบบเบจได้ค้นพบความไม่น่าเชื่อถือบางประการในการคำนวณ จึงล้มเลิก และไปคิดเครื่องใหม่ที่ชื่อว่า Analytical Engine ซึ่งประกอบด้วยหน่วยความจำ (Memory Unit) ที่สามารถจัดเก็บตัวเลขและนำไปคำนวณได้

ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องดังกล่าวยังสามารถพิมพ์ข้อมูลได้อัตโนมัติ สามารถนำเข้าข้อมูลด้วยบัตรเจาะรู (Punched Cards) และใช้ชุดคำสั่งในการควบคุม เครื่อง Analytical Engine นี้ยังมีฟังก์ชั่นหน้าที่หลายอย่างเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน ทำให้ ชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ถูกขนานนามให้เป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ เป็นต้นมา







B.Lady augusta Ada Byron

อด้า ไบร่อน (Lady Augusta Ada Byron, Coutress of Lovelace) 
  เป็นบุตรสาวของ ลอร์ด ไบร่อน (Lord Byron) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ.1815) ในกรุงลอนดอน ผู้คนรู้จักเธอในนามของท่านผู้หญิงเลิฟเลซ ท่านลอร์ดไบรอน บิดาของเธอซึ่งเป็นกวีที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ และแอนนาเบล มิลแบงค์ มารดาของเธอซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์
      หลังจากเธอเกิดไม่นาน พ่อแม่ของเธอก็แยกทางกัน แม่ของเอด้า จึงตัดสินใจเลี้ยงดูเธอให้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ และให้ศึกษาด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ต่างไปจากเลดี้ในตระกูลใหญ่ๆ ของอังกฤษทั่วไป
    พออายุ 17 ปี ก็มีผู้แนะนำให้เอด้ารู้จัก Mrs. Somerville แห่งเคมบริดจ์ ผู้หญิงเก่งแห่งยุค ที่เคยแปลงานของ Laplace มาเป็นภาษาอังกฤษ เอด้าจึงเข้ามาคลุกคลีกับเพื่อนกลุ่มนี้ จนได้รู้จักกับ ชาร์ลส แบบเบจ ในงานสังสรรค์แห่งหนึ่ง ในที่สุด ในงานวันนั้น ตอนที่แบบเบจกล่าวว่า "what if a calculating engine could not only foresee but could act on that foresight" (จะเป็นอย่างไร ถ้าหากเครื่องคำนวณไม่เพียงสามารถหยั่งรู้ได้ หากแต่สามารถตอบสนองต่อการหยั่งรู้นั้นได้ด้วย) ไม่มีใครสนใจแนวคิดนี้ของแบบเบจเลย ยกเว้นเอด้า ซึ่งเธอรู้สึกสนใจในงานนี้เป็นอย่างมาก จนอาสาที่จะช่วยพัฒนา โดยสิ่งที่เธอทำคือ การสร้างภาษาสำหรับเครื่องวิเคราะห์ (analytical engine) ของแบบเบจ
      แอดาเป็นนักคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แอดาได้รับการศึกษาด้านคณิตศาสตร์จากครูส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่นับว่าแปลกในขณะนั้น โดยเฉพาะในเด็กสาวแล้ว ในสมัยนั้นสตรีผู้ได้รับการศึกษาทางด้านนี้ค่อนข้างจะหาได้ยาก เธอได้เรียนเรื่องพีชคณิต, ตรรกวิทยา และแคลคูลัส แต่ถึงมารดาของเธอก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มั่นใจว่าแอดาจะไม่เป็นกวีเหมือนพ่อ แต่แอดาก็ยังมีเลือดของความเป็นกวีอย่างชัดเจน เพราะนอกจากเธอจะรักและเข้าใจในบทกวีอย่างลึกซึ้งแล้ว บทกวีก็ยังทำให้เธอสามารถเข้าใจในคณิตศาสตร์อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้นด้วย
    เหตุการณ์ที่ทำให้เธอกลายเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงได้เริ่มต้นขึ้นในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง เมื่อเธออายุเพียง 17 ปี เธอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องคำนวณของชาร์ลส์ แบบเบจ ชาร์ลส์ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล เขามีความคิดที่จะสร้างเครื่องคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่สามารถคำนวณได้เองอย่างอัตโนมัติและมีขั้นตอนที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งในขณะนั้นแนวทางนี้เป็นการปฏิวัติทางความคิดที่สำคัญ แอดารู้สึกประทับใจในแนวความคิดนี้และเฝ้าติดตามการทำงานของเขาอย่างใกล้ชิดอยู่หลายปี
     แบบเบจได้ทำงานตามแผนงานที่เขาได้วางไว้ และได้มีการรายงานความคืบหน้าในการสัมมนา ณ เมืองตูริน ประเทศอิตาลีใน ค.ศ. 1840 นอกจากนี้ยังได้มีการตีพิมพ์สรุปเนื้อหาไว้ด้วยภาษาฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1843 แอดาได้แต่งงานและมีลูก 3 คน เธอได้แปลบทความที่เป็นภาษาฝรั่งเศสนี้ เมื่อเธอนำบทความที่แปลแล้วไปให้แบบเบจดู แบบเบจแนะให้เธอเติมข้อมูลของเธอด้วย ปรากฏว่าเมื่อแปลเสร็จ บทความนั้นยาวกว่าต้นฉบับถึง 3 เท่าโดยที่แอดามีความคิดเห็นและทำนายว่าเครื่องคำนวณนี้จะสามารถใช้ในการเรียบเรียงดนตรี, ทำภาพกราฟิก และใช้ประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วย และหากเราได้ลองพิจารณาดูก็จะพบว่าคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับที่แอดาได้ทำนายไว้ครบถ้วน ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
        แอดามีความคิดเห็นสอดคล้องกับแบบเบจมาโดยตลอดและหลายคนเชื่อว่าเธอมีส่วนในการเขียน หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ที่ชี้ชวนให้แบบเบจเขียนแผนว่าเครื่องจักรของเขาจะสามารถคำนวณตัวเลขเบอนูลีได้อย่างไร ซึ่งข้อมูลนี้ถือเป็นแนวทางสำคัญในการกำเนิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์
       แอดาเสียชีวิตเมื่ออายุประมาณ 36 ปีต้นๆ เช่นเดียวกับพ่อของเธอ เธอสนใจหลายสิ่งหลายอย่างตั้งแต่ดนตรีไปจนถึงการขี่ม้า รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณ ด้วยความฉลาด ความสวยและบุคลิกภาพที่มีเสน่ห์ของเธอจึงทำให้เธอได้รับความสนใจอย่างมากในวงสังคมไม่เว้นแม้กระทั่งในวงการของผู้ที่สนใจคอมพิวเตอร์
             อีกร้อยกว่าปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สร้างภาษาคอมพิวเตอร์มาตรฐาน ISO ขึ้นมาตัวแรก พร้อมตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ เลดี้ เอด้า ว่า ภาษา "ADA"
               ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ เอด้าได้รู้จัก และอาสาช่วยงาน พร้อมทั้งอุปการะ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ รวมทั้งนักเขียนหลายคน เช่น Sir David Brewster คนคิดคาไลโดสโคป, Charles Wheatstone, ชาร์ลส ดิกเก้นส์, และ ไมเคิล ฟาราเดย์



C.Herman Hollerith

Herman Hollerith 's บิดามารดาได้อพยพไปสหรัฐอเมริกาจากประเทศเยอรมนีใน 1,848 หลังจาก disturbances ทางการเมืองในประเทศที่. โรงเรียนไม่ได้อย่างง่ายสำหรับ Herman แม้ว่าที่เขาฉลาด. Ashurst recounts:
Herman จะกล่าวได้รับเด็กสดใสและสามารถที่โรงเรียนแต่ก็ไม่สามารถเรียนรู้การสะกดคำได้อย่างง่ายดาย. พิจารณาครูทำชีวิตของเขายากไร้ในขอบเขตที่เขาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการโรงเรียนเมื่อทำได้และพยายามหนีเมื่อพบครูของเขาซึ่งได้เปลี่ยนใหม่เพื่อปรับปรุงการสะกดของเขา. พระองค์
ดังนั้นปัญหาเหล่านี้ทางโรงเรียนได้ที่ Herman ถ่ายที่สุดอยู่ห่างจากโรงเรียนและเขา tutored ส่วนตัวที่บ้านโดยรัฐมนตรี Lutheran ครอบครัวของ.
Hollerith ป้อน City College of New York ใน 1,875 และเขาเป็นบัณฑิตด้านวิศวกรรมของ Columbia School of เหมืองใน 1,879, ได้รับความแตกต่างในการสอบครั้งสุดท้ายของเขา. บันทึกระดับปริญญาตรีของพระองค์ได้โดดเด่นและเป็นหนึ่งในครูศาสตราจารย์ WP Trowbridge ของเขาเป็นที่ประทับใจเพื่อที่เขาถาม Hollerith เป็นผู้ช่วยของเขา.
ดังนั้นหลังจากจบ Hollerith เป็นผู้ช่วย Trowbridge, แรก Columbia University แต่ภายหลังเขาได้เข้าร่วมสหรัฐอเมริกาสำมะโนประชากรสำนักเป็นสถิติเมื่อ Trowbridge ได้รับการแต่งตั้งหัวหน้า Special Agent ไปสำมะโนประชากรสำนัก. นัดนี้สำคัญมากเพราะในการแก้ปัญหาของการวิเคราะห์จำนวนมากของข้อมูลที่สร้างโดย 1,880 สำมะโนประชากรสหรัฐที่ Hollerith ถูกนำไปสู่การมองหาวิธีการจัดการกับข้อมูลเครื่องจักร. ความคิดในความเป็นจริงมาจาก Billings Dr John Shaw ผู้ Hollerith มาติดต่อกับในงานของเขาในสหรัฐอเมริกาสำมะโนประชากรสำนัก. Hollerith เขียนมากภายหลัง 
หนึ่งยามเย็นที่โต๊ะน้ำชา Dr B ของเขากล่าวแก่ฉันว่าไม่มีน่าจะเป็นเครื่องสำหรับทำงานเครื่องกลหมดจดของการทำเป็นตารางประชากรและสถิติที่คล้ายกัน '.
ในรุ่นที่แตกต่างเล็กน้อยของ Billings Dr เรื่องเดียวกันคือการรายงานได้กล่าวว่า (ดูตัวอย่าง):
มีน่าจะเป็นบางส่วนทางกลของการทำงานนี้บางอย่างในหลักการ Jacquard กี่, โดยหลุมในบัตรกำหนดรูปแบบที่จะถัก.
ใน 1,882 Hollerith ร่วม Massachusetts Institute of Technology ซึ่งเขาสอนวิศวกรรมเครื่องกล. ขณะนี้เขาตรวจสอบคำแนะนำ Billings, ตรวจสอบวิธีการที่ Jacquard กี่ทำงานร่วมกับดูจะพบว่ามันสามารถใช้ในงานสำมะโนประชากร. เขาพบว่าในที่สุดเคารพในหน้าที่ของ Jacquard กี่ออกห่างจากสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์ในการทำงานสำมะโนประชากรแต่เขารู้ว่าบัตร punched เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูล. แนวคิดลหลงเขาอีกหนึ่งวันในการเดินทางรถไฟเป็นเขาจับตาดูตั๋วเก็บตั๋วชกมวย. นี่คือวิธีง่ายๆในการชกต่อยข้อมูลไปยังบัตร.
ขณะที่เขาทำงานที่ Massachusetts Institute of Technology Hollerith เริ่มการทดสอบแรกของเขา. เหล่านี้ใช้เทปกระดาษมากกว่าบัตรด้วย pins ซึ่งจะผ่านหลุมในเทปและเสร็จสิ้นการติดต่อไฟฟ้า. คิดเป็นเกือบสิทธิแต่เทปได้ drawbacks นับตั้งแต่มีการหยุดให้ pin ไปถึงหลุมเพื่อให้ติดต่อ. Hollerith realised ว่าบัตรจะให้โซลูชันที่ดีกว่า.


d.Alan Turing


แอลัน แมธิสัน ทัวริง (Alan Mathison Turing) (23 มิถุนายน พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954)) เป็นนักคณิตศาสตร์, นักตรรกศาสตร์, นักรหัสวิทยา และวีรบุรุษสงคราม ชาวอังกฤษ และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์
เขาได้สร้างรูปแบบที่เป็นทางการทางคณิตศาสตร์ของการระบุขั้นตอนวิธีและการคำนวณ โดยใช้เครื่องจักรทัวริง ซึ่งตามข้อปัญหาเชิร์ช-ทัวริงได้กล่าวว่าเป็นรูปแบบของเครื่องจักรคำนวณเชิงกลที่ครอบคลุมทุกๆ รูปแบบที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทัวริงมีส่วนสำคัญในการแกะรหัสลับของฝ่ายเยอรมัน โดยเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม Hut 8 ที่ทำหน้าที่ในการแกะรหัสของเครื่องอินิกมาที่ใช้ในฝ่ายทหารเรือ
หลังจากสงครามเขาได้ออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถโปรแกรมได้เครื่องแรกๆ ของโลกที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติ และได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจริงๆ ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์รางวัลทัวริงถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อยกย่องเขาในเรื่องนี้
นอกจากนั้นแล้วการทดสอบของทัวริงที่เขาได้เสนอนั้นมีผลอย่างสูงต่อการศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งในขณะมีถกเถียงที่สำคัญว่า: เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกล่าวว่าเครื่องจักรนั้นมีสำนึกและสามารถคิดได้

การศึกษาและงาน

ปี พ.ศ. 2474 เขาเข้าเรียนคณิตศาสตร์ ที่ คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (หมายเหตุ: ยุคนั้น คิงส์คอลเลจเป็นที่พักชายล้วน ซึ่ง ทัวริงก็อยู่อย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ และเข้าร่วมกิจกรรมชมรม) ทัวริงมีความสุขกับชีวิตที่นี่มาก และทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น พายเรือ, เรือใบเล็ก และ วิ่งแข่ง. ทัวริงพูดเสมอว่า "งานของผมนั้นเครียดมาก และทางเดียวที่ผมจะเอามันออกไปจากหัวได้ก็คือ วิ่งให้เต็มที่" และเขาก็วิ่งอย่างจริงจัง จนได้ระดับโลก โดยที่ผลการวิ่งมาราธอนของเขา ชนะเลิศการแข่งขันของสมาคมนักกรีฑาสมัครเล่น ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 43 นาที 3 วินาที ในปี พ.ศ. 2489. ซึ่งในการแข่งขันวิ่งมาราธอนโอลิมปิก เมื่อ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) คนที่ได้เหรียญทอง ทำเวลาได้เร็วกว่าเขาเพียง 11 นาที

ส่วนในเรื่องวิชาการ ในวงการคณิตศาสตร์ยุคนั้น รัสเซิลล์ (Russell) เสนอเอาไว้ว่า "mathematical truth could be captured by any formalism" แต่ยุคนั้น โกเดล โต้ว่า "the incompleteness of mathematics: the existence of true statements about numbers which could not be proved by the formal application of set rules of deduction". พอปี พ.ศ. 2476 ทัวริงก็ได้เจอกับรัสเซิลล์ แล้วก็ตั้งคำถาม พร้อมถกเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา ทำให้เขาสนใจ

ปี พ.ศ. 2477 ทัวริงก็จบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง. ทางมหาวิทยาลัย ก็เลยเชิญเขาอยู่เป็น Fellow ด้านคณิตศาสตร์ต่อ (ส่วนใหญ่ Fellow ของเคมบริดจ์จะเป็นพวกที่จบปริญญาเอก แต่ทัวริงจบเพียงปริญญาตรี) ปี พ.ศ. 2478 ทัวริงไปเรียนกับ จอห์น ฟอน นอยมันน์ เรื่อง ปัญหาของการตัดสินใจ (Entscheidungs problem) ที่ถามว่า "Could there exist, at least in principle, a definite method or process by which it could be decided whether any given mathematical assertion was provable?" ทัวริงก็เลยมาคิดๆ โดยวิเคราะห์ว่า คนเราทำอย่างไรเวลาทำงานที่เป็นกระบวนการที่มีกฎเกณฑ์ (methodical process) แล้วก็นึกต่อว่า ว่าวางกรอบว่าให้เป็นอะไรซักอย่างที่ สามารถทำได้อย่างเป็นกลไก (mechanically) ล่ะ? เขาก็เลยเสนอทฤษฏีออกมาเป็น "The analysis in terms of a theoretical machine able to perform certain precisely defined elementary operations on symbols on paper tape". โดยยกเรื่องที่เขาคิดมาตั้งแต่เด็กว่า 'สถานะความคิด' (state of mind) ของคน ในการทำกระบวนการทางความคิด มันเกี่ยวกับการเก็บ และเปลี่ยนสถานะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนี่ง ได้ตามการกระทำทางความคิด, โดยทัวริงเรียกสิ่งนี้ว่า คำสั่งตรรกะ (logical instructions). แล้วก็บอกว่าการทำงานต้องมี กฎเกณฑ์ที่แน่นอน (definite method) (ซึ่งเป็นชื่อแบบดูเข้าใจง่ายเลยนะ แต่ยุคหลังถูกเปลี่ยนมาเรียกเป็นทางการว่า ขั้นตอนวิธี)

พอปี พ.ศ. 2479 เขาก็เลยเตรียมออกบทความวิชาการที่มืชื่อเสียง "On Computable Numbers with an application to the Entscheidungsproblem" แต่ก่อนเขาออกบทความนี้ มีอีกงานของฝั่งอเมริกาของ Church ออกมาทำนองคล้ายๆ กันหัวข้อเหมือนๆ กันอย่างบังเอิญ เขาเลยถูกบังคับให้เขียนอิงงาน Church ไปด้วย (เพราะบทความเขาออกทีหลัง) แต่พอบทความเขาออกมาจริงๆ คนอ่านก็เห็นว่าเป็นคนละทฤษฏีกันและของเขามีเนื้อหา relied upon an assumption internal to mathematics แม่นกว่า การเน้นเรื่อง operation ใน physical world. (ยุคต่อมาคนก็เลยนำ concept เขาไปประยุกต์ใช้และอ้างชื่อให้เกียรติว่า Turing machine, the foundation of the modern theory of computation and computability -- ทำให้หลายๆ คนตั้งให้ แอลัน ทัวริง เป็น The Founder of Computer Science หรือ ผู้ริเริ่มศาสตร์คอมพิวเตอร์) ปลายปีนั้นเองเขาก็ได้รับรางวัล Smith's prize ไปครอง









e.Konrad Zuse

Konrad Zuse ถูกนำขึ้น Braunsberg ตะวันออกปรัสเซียซึ่งเขาเข้าร่วม Humanistisches สนามกีฬา. เขาป้อน Technische Hochschule แห่งเบอร์ลิน-Charlottenburg ใน 1,927 ซึ่งเขาเอาหลักสูตรวิศวกรรมโยธา. เดิมศึกษาเหล่านี้วิศวกรรมที่นำ Zuse เป็นที่สนใจในการพัฒนาเครื่องกลไกสำหรับคำนวณประมาณ 1,934. เขาพบว่าเขาใช้เวลาหลาย
... การทำงานผ่านการคำนวณสถิตศาสตร์ยาวที่ให้ความสำคัญในการฝึกอบรมของวิศวกรโยธา ...
หลังจากจบ Zuse ร่วม Henschel เครื่องบินของบริษัทซึ่งเขาทำงานกับการวิเคราะห์ความเครียด. โดยเฉพาะเขาเน้นการศึกษาที่เกิดจาก vibrations ของปีกเครื่องบินของ. งานของพระองค์ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งประดาและเพื่อการคำนวณเพื่อให้เขาดำเนินการคำนวณเหล่านี้ Zuse สร้างคอมพิวเตอร์ Z1 ของเขาในบิดามารดาของเขาอยู่ห้อง. เขาเขียนว่า:
ผมเริ่มที่ 1,934 ทำงานอิสระและไม่มีความรู้ในการพัฒนาอื่นๆที่เกิดขึ้นรอบฉัน. ในความเป็นจริงฉันไม่ได้ยินแม้แต่ของ Charles Babbage เมื่อ embarked ในการทำงานของฉัน.
Zuse เสร็จเครื่องใน 1,938. มันเป็นกลทั้งหมดมีหน่วยคำนวณประกอบด้วยจำนวนมากสวิตช์เครื่องกลและหน่วยความจำประกอบด้วยชั้นของแถบโลหะระหว่างชั้นของกระจก. หนึ่งในคุณสมบัติใหม่ที่สุดของมันแล้วว่าจะเป็นโปรแกรมโดยเทป punched. เหตุผลหลักว่าทำไม Zuse ประสบความสำเร็จในการสร้างคอมพิวเตอร์กลของเขาที่ Babbage ได้ล้มเหลวคือความจริงที่ Z1 Zuse ของเป็นเครื่อง binary สองตำแหน่งสวิทช์เพื่อแสดง 0 และ 1. แต่กล่าว Zuse ที่ประสบความสำเร็จกับ Z1 เป็นบิตของการพูดเกินจริงสำหรับเครื่องไม่ได้ดี. หน่วยความจำที่มีคุณสมบัติสำเร็จวิธีการที่คำสั่งถูกส่งผ่านเชื่อมโยงกลไม่สำเร็จ.
แผนการ Zuse ของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่กว่าและดีกว่า Z2 ที่เกี่ยวข้องทำให้ระบบหน่วยความจำเดียวกันแต่แทนที่หน่วยเลขคณิตเครื่องกลด้วยรีเลย์ไฟฟ้า. แต่โครงการถูกขัดจังหวะโดยสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ Zuse ได้เรียกค่าบริการทหาร. เขาใส่ในราบเยอรมันแต่ persuaded ทัพเพื่อให้เขากลับไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อาคาร.
สาม Reich ของ Aerodynamic สถาบันวิจัยรับการสนับสนุนการทำงานของเขาและเขาเสร็จอาคาร Z2 ซึ่งยังคงใช้คอมพิวเตอร์ทดลอง. เขาแล้วความก้าวหน้าในการสร้าง Z3 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ Zuse สร้างขึ้นเพื่อใช้แทนการทดสอบความคิดของเขา. Z2 และคอมพิวเตอร์ Z3 เป็นเครื่องถ่ายทอดไฟฟ้าและ Z3 ให้เสร็จ 1,941, มีหน่วยความจำไฟฟ้าประกอบด้วยรีเลย์เป็นหน่วยเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ไฟฟ้า.
ของหลักสูตรเพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการคำนวณ, Z3 ที่จำเป็นรีเลย์จำนวนมากและแน่นอนมันมีประมาณ 2,600. มันเป็นโปรแกรมแรกของการดำเนินงานควบคุมเครื่องคำนวณและได้ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องบินเยอรมันในการแก้ระบบสมการพร้อมกันและระบบคณิตศาสตร์อื่นๆที่มีการผลิตโดยปัญหาของการซื้อขายกับการสั่นสะเทือนของ airframes วางภายใต้ความเครียด.
แต่เมื่อ Zuse เสนอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในวาล์วอิเล็กทรอนิกส์ให้ข้อเสนอถูกปฏิเสธในบริเวณที่ชาวเยอรมันได้ให้ใกล้เคียงกับที่ชนะสงครามโลกครั้งที่พยายามวิจัยที่ต่อได้ไม่จำเป็นต้อง.
บาง Zuse ของคอมพิวเตอร์ถูกทำลายใน raids ระเบิดใกล้สิ้นสงครามแม้ว่า Z3 ได้ reconstructed ใน 1,960 แสดงในพิพิธภัณฑ์ในมิวนิค. Zuse เริ่มทำงานบนคอมพิวเตอร์ Z4 ของเขาใน 1,942 และก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อเนื่องจาก raids อากาศอย่างต่อเนื่องจะถูกย้ายจากเบอร์ลินเพื่อ Göttingen. หลังจากเพียงไม่กี่สัปดาห์ Göttingen อยู่ในอันตรายของการบันทึกโดยยกรัสเซีย advancing และ Z4 ถูกย้ายอีกครั้งไปยังหมู่บ้านเล็ก Hinterstein ในบาวาเรียนี้. Z4 เป็นรหัส Versuchsmodell 4 หรือ V4 และซ่อนไว้ในห้องใต้ดินของบ้าน. Ashurst เขียน:
เนื่องจากความสัมพันธ์ของ V4 กับ bombs บิน V1 และ V2 และ rockets, ยกอังกฤษและอเมริกันที่พบในที่สุด (มันก็ไม่ได้พบโดยฝรั่งเศสผู้เข้าหมู่บ้านแรก) ก็แปลกใจมากเมื่อป้องกันหลายอย่างของพวกเขาไม่จำเป็นและ V4 พิลึกเป็นเพียงการชุมนุมของบิตเครื่องกลและชิ้น.
สุดท้ายคอมพิวเตอร์ Z4 ถูกนำไปวิตเซอร์แลนด์ซึ่งติดตั้งใน ETH ในซูริคใน 1,950. มันอยู่ปฏิบัติงานมีจนถึง 1,955 เมื่อมันถูกย้ายไปปิดวิจัยฝรั่งเศส aerodynamical สถาบันที่บาเซิลซึ่งอยู่ในการใช้จนถึง 1,960.
Zuse จริงในการออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆนอกเหนือจากชุดของเขา Z. S1 และ S2 คอมพิวเตอร์ของเขาใช้ในการคำนวณการวัดเฉพาะที่จำเป็นสำหรับการผลิตเครื่องบิน. สำหรับ S2 คอมพิวเตอร์รวมอุปกรณ์การวัดเพื่อให้วัดของเครื่องบินในการผลิตและการให้อาหารเหล่านี้ได้โดยตรงในการคำนวณ. คอมพิวเตอร์ L1 ซึ่ง Zuse ออกแบบไม่ได้แก้ปัญหาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์แต่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาลอจิคัล. เพียงเวอร์ชันทดลองผลิตไม่ทำงานต่อการกระทำความคิดนวัตกรรมนี้.
การพัฒนาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอิสระของผู้ John Eckert, Mauchly และ Howard Aiken ในสหรัฐอเมริกาและทัวริงในอังกฤษ. Zuse ภายหลังเขียน:
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ถูกที่สุดผ่านข่าวของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียเครื่อง ENIAC ไปรอบโลกทั้งหมด 18,000 หลอด!". เราสามารถสั่นหัวของเรา. สิ่งที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดเป็นท่อสำหรับ การพัฒนาภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็นยักษ์ใหญ่ไม่เคยได้ยินจากนอกวงของการทำงานเป็นหมู่. มันเป็นเพียงเท่าภายหลังว่า wraps มาปิดโครงการนี้น่าสนใจมาก.
Zuse ตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ของตัวเองใน 1,950 เขาก็เอาไปจาก Siemens ในบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ 1,967. ใน 1,965 เขาได้รับการทรมาน M Goode Memorial Award, เหรียญและ $ 2,000 รางวัลโดย Computer Society:
สำหรับการช่วยเหลือให้เขาและความพยายามในการสำรวจในคอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติ; สำหรับอิสระเสนอการใช้ระบบไบนารีและลอยเลขคณิตจุดและการออกแบบโปรแกรมแรกคอมพิวเตอร์ควบคุมในเยอรมัน - หนึ่งในเร็วในโลก.
โดยเขาได้ถึง 1,958 คอมพิวเตอร์ Z22 ซึ่งเป็นคนหนึ่งในครั้งแรกที่จะออกแบบ transistors. Zuse ยังคงทำวิจัยในคอมพิวเตอร์และการดำเนินการเป็นที่ปรึกษาด้านการ Siemens หลังจากที่บริษัทเอาไปควบคุมของบริษัทคอมพิวเตอร์ Zuse ใน 1,969.
ตลอดจนการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของเขายัง Zuse สนใจในซอฟต์แวร์เขาพัฒนาภาษาแรก algorithmic เรียกว่า "Plankalkül" ใน 1,945. เขาใช้ภาษาในการออกแบบโปรแกรมการเล่นหมากรุก. แม้ว่าภาษาที่ไม่แพร่หลายใช้เป็นรูปแบบพื้นฐานสำหรับ ALGOL ภาษารุ่นต่อไปซึ่งแน่นอนโลกเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย-กว้าง.





F.Prof.Howard H.Aiken

ฮาวเวิร์ดฮาธาเวย์ Aiken (8 มีนาคม 1900 - 14 มีนาคม 1973) เป็นผู้บุกเบิกใน การคำนวณ การออกแบบแนวคิดเดิมที่อยู่เบื้องหลัง ของไอบีเอ็ม ที่ ฮาร์วาร์ Mark I คอมพิวเตอร์ [1]
Aiken เรียนที่ มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน ในภายหลังและได้รับปริญญาเอกของเขาในฟิสิกส์ที่ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในปี 1939  ในช่วงเวลานี้เขาได้พบ สมการเชิงอนุพันธ์ ว่าเขาสามารถแก้ตัวเลข เขามองเห็นภาพเครื่องคอมพิวเตอร์กลไฟฟ้าที่สามารถทำมากของการทำงานที่น่าเบื่อสำหรับเขา คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ แต่เดิมเรียกว่า ASCC (ลำดับอัตโนมัติควบคุมเครื่องคิดเลข) และต่อมาเปลี่ยนชื่อ ฮาร์วาร์ Mark I . กับวิศวกรรมและการก่อสร้าง, การระดมทุนและจาก IBM , เครื่องเสร็จสมบูรณ์แล้วและติดตั้งอยู่ที่ฮาร์วาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 1944 [4] เกรซกระโดด เข้าร่วม โครงการในเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว [5] ในปี 1947, Aiken เสร็จงานของเขาใน ฮาร์วาร์ Mark II คอมพิวเตอร์ เขายังคงทำงานของเขาใน Mark III และ ฮาร์วาร์มาร์ค . Mark III ใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางและมาร์คคือทั้งหมดที่อิเล็กทรอนิกส์ Mark III และมาร์ค IV ใช้ แม่เหล็กกลอง หน่วยความจำและมาร์คยังมี หน่วยความจำแกนแม่เหล็ก .
ไอแรงบันดาลใจจาก ชาร์ลส์ Babbage 's แตกต่างเครื่องยนต์ .
Aiken สะสมปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน, Wayne State Technische Hochschule และ, ดาร์มสตัด เขาได้รับเลือก Fellow ของ อเมริกันสถาบันศิลปะและวิทยาศาสตร์ ในปี 1947 [6]เขาได้รับจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสันวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์รางวัลวันวิศวกรในปี 1958, แฮร์รี่ได้รับรางวัลเอชกู๊ดอนุสรณ์ ในปี 1964, จอห์นราคา Wetherill เหรียญ ในปี 1964 และ IEEE 's เหรียญเอดิสัน'สำหรับอาชีพรับรางวัลผลงานเป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาและการประยุกต์ใช้ดิจิตอลคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และการมีส่วนร่วมสำคัญในการศึกษาในสาขาคอมพิวเตอร์ดิจิตอล. ในปี 1970
นอกเหนือจากการทำงานของเขาในซีรีส์มาร์คอีกงานที่สำคัญของไอเก็คือการแนะนำของโปรแกรมปริญญาโทสำหรับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ฮาร์วาร์เกือบสิบปีก่อนที่โปรแกรมเริ่มปรากฏให้เห็นในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เรื่องนี้กลายเป็นพื้นดินเริ่มที่จะนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในอนาคตหลายคนได้ปริญญาเอกภายใต้ไอ




G.Dr. John V.Atanasoff & clifford Berry

จอห์นวินเซนต์อาตา (4 ตุลาคม 1903 - 15 มิถุนายน 1995) เป็นนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันและนักประดิษฐ์ที่รู้จักกันดีสำหรับการประดิษฐ์ครั้งแรกของดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ .
อาตาคิดค้นครั้งแรกของดิจิตอลคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ที่ วิทยาลัยรัฐไอโอวา . ความท้าทายในการอ้างสิทธิของเขามีการแก้ไขในปี 1973 เมื่อ Honeywell โวลต์สเปอร์รีแรนด์ คดีปกครองที่อาตาเป็นนักประดิษฐ์ของคอมพิวเตอร์ [เครื่องวัตถุประสงค์พิเศษของเขาได้มาจะเรียกว่า อาตา -Berry คอมพิวเตอร์ .

ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา

อาตา, บรรพบุรุษของชาวบัลแกเรียฝรั่งเศสและไอริชเกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1903 ใน แฮมิลตัน, นิวยอร์ก เพื่อเป็นวิศวกรไฟฟ้าและครูในโรงเรียน พ่อของอาตาของอีวานอาตาเกิดใน 1876 ในหมู่บ้าน Boyadzhikใกล้กับ Yambol , บัลแกเรีย . ในขณะที่อีวานยังคงเป็นเด็กพ่อของตัวเองของอีวานถูกฆ่าตายโดย ทหารออตโตมัน หลังจากที่บัลแกเรีย เมษายนกบฏ . [5] ใน 1889, อีวาน Atanasov อพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากับลุงของเขา แม่ของอาตาของ Iva ลูเซนาจังเป็นครูของคณิตศาสตร์
อาตาถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ของเขาใน บรูว์, ฟลอริดา . ตอนอายุสิบเก้าเขาได้เรียนรู้ที่จะใช้ กฎสไลด์ สั้น ๆ ตามด้วยการศึกษา ลอการิทึม และโรงเรียนมัธยมเสร็จต่อมาที่ โรงเรียนมัธยมต้นหม่อน ในสองปี ในปี 1925, อาตาได้รับปริญญาตรีปริญญาวิทยาศาสตร์ของเขาใน ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จาก มหาวิทยาลัยฟลอริดา จบการศึกษาตรงของ
เขายังคงศึกษาของเขาที่ มลรัฐไอโอวาวิทยาลัย และใน 1926 ได้รับ ปริญญาโท ใน วิชาคณิตศาสตร์ . เขาจบการศึกษาอย่างเป็นทางการของเขาใน 1930 โดยรายได้ ปริญญาเอก ใน ฟิสิกส์ทฤษฎี จาก มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน กับวิทยานิพนธ์, ฉนวนคงที่ของฮีเลียมของเขา เมื่อเสร็จสิ้นการปริญญาเอกของเขาได้รับการยอมรับอาตา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐไอโอวาในวิชาคณิตศาสตร์และ ฟิสิกส์ .

การพัฒนาคอมพิวเตอร์

1997 แบบจำลองของคอมพิวเตอร์อาตา-Berry ที่เดอร์แฮมศูนย์ มหาวิทยาลัยมลรัฐไอโอวา
ส่วนหนึ่งเนื่องจากงานน่าเบื่อหน่ายของการใช้เครื่องจักรกล เครื่องคิดเลขมอนโร ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดให้กับเขาในขณะที่เขากำลังเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาอาตาเริ่มค้นหาวิธีการที่เร็วขึ้นของการคำนวณ ที่รัฐไอโอวา, อาตาวิจัยการใช้ ทาส เครื่องคิดเลขมอนโรและ IBM tabulators สำหรับปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ในปี 1936 เขาคิดค้น เครื่องคิดเลขแบบอะนาล็อก สำหรับการวิเคราะห์พื้นผิวรูปทรงเรขาคณิตความอดทนเชิงกลที่ดีที่จำเป็นสำหรับความถูกต้องดีผลักเขาที่จะต้องพิจารณาโซลูชั่นดิจิตอล
ตามที่อาตาหลักการทำงานหลายคนของ อาตา-Berry คอมพิวเตอร์ (ABC) ถูกรู้สึกโดยศาสตราจารย์ในแฟลชของความเข้าใจในช่วงฤดูหนาว 1937-1938 ไดรฟ์หลังจากที่ ร็อกไอแลนด์, อิลลินอยส์ . ด้วยทุน 650 $ ที่ได้รับในกันยายน 1939 (เทียบเท่าของ $ 8,403 ในปี 2010) และความช่วยเหลือจากนักเรียนของเขาจบการศึกษา Clifford Berry , เอบีซีได้รับการเป็นต้นแบบในเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว
ความคิดที่สำคัญที่ใช้ในเอบีซีรวม ไบนารี คณิตศาสตร์และ ตรรกะบูลีน ที่จะแก้ปัญหาได้ถึง 29 สมการเชิงเส้นพร้อมกัน . เอบีซีไม่ได้มี หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) แต่ได้รับการออกแบบเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ หลอดสูญญากาศ ในการคำนวณดิจิตอล มันยังใช้แยกปฏิรูป ตัวเก็บประจุ หน่วยความจำที่ดำเนินการโดยกระบวนการที่ใช้ในวันนี้ยังคงใน DRAM หน่วยความจำ




H. Dr.john W.maUchly & J. Presper Eckert



จอห์นอดัม Presper "ปธน. " Eckert จูเนียร์ (9 เมษายน 1919 - 3 มิถุนายน 1995) เป็น อเมริกัน วิศวกรไฟฟ้า และ คอมพิวเตอร์ เป็นผู้บุกเบิก กับ จอห์น Mauchly เขาคิดค้นครั้งแรกโดยทั่วไปวัตถุประสงค์คอมพิวเตอร์ดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์ ( ENIAC ), นำเสนอหลักสูตรแรกในหัวข้อคอมพิวเตอร์ ( มัวร์บรรยายโรงเรียน ) ก่อตั้งขึ้น บริษัท คอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ครั้งแรก ( Eckert-Mauchly Computer Corporation ) และได้รับการออกแบบครั้งแรก คอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ในสหรัฐ, ยูนิแวก ซึ่งเป็น บริษัท Eckert การประดิษฐ์ของปรอท หน่วยความจำสายล่าช้า .

การประดิษฐ์ของ ENIAC

ดร. จอห์น Mauchly ประธานจากนั้นแผนกฟิสิกส์จากสถานที่ใกล้เคียง Ursinus วิทยาลัย เป็นนักศึกษาในหลักสูตรอิเล็กทรอนิกส์ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงต่อไปนี้การรักษาความปลอดภัยตำแหน่งสอนที่โรงเรียนมัวร์ ข้อเสนอ Mauchly สำหรับการสร้างดิจิตอลคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ หลอดสูญญากาศ หลายครั้งได้เร็วขึ้นและถูกต้องมากขึ้นกว่าการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันสำหรับการคำนวณ วิถีกระสุน ตารางสำหรับ ปืนใหญ่ จับความสนใจของมัวร์ของโรงเรียนกองทัพบกประสานงานโท เฮอร์แมน Goldstine และเมื่อ 9 เมษายน 1943 คือ นำเสนออย่างเป็นทางการในการประชุมที่ อเบอร์ดีนพิสูจน์ Ground ผู้อำนวยการพันเอก เลสลี่ไซมอน , Oswald Veblen และอื่น ๆ สัญญาได้รับรางวัลสำหรับการก่อสร้างโรงเรียนมัวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำเสนอซึ่งจะถูกตั้งชื่อตามชื่อ ENIACและ Eckert ได้ถูกทำให้หัวหน้าวิศวกรของโครงการ ENIAC เสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 1945 และเป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนในเดือนกุมภาพันธ์ 1946








I.Dr. John Von Neumann

จอห์น ฟอน นอยมันน์ (John von Neumann, Neumann János, 28 ธ.ค. ค.ศ. 1903 - 8 ก.พ. ค.ศ. 1957) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี มีผลงานสำคัญในหลายสาขา ทั้ง ควอนตัมฟิสิกส์ ทฤษฎีเซต วิทยาการคอมพิวเตอร์ เศรษฐศาสตร์ และ จะว่าไปแล้วก็ทุกๆ สาขาในวิชาคณิตศาสตร์ เลยก็ว่าได้

ประวัติ

เขาเป็นบุตรชายคนโต ในพี่น้อง 3 คน ชื่อเดิมของนอยมันน์ คือ János Lajos Margittai Neumann เกิดที่เมืองบูดาเปส บิดาคือ Neumann Miksa (Max Neumann) เป็นนักการธนาคาร และ มารดาคือ Kann Margit (Margaret Kann) นอยมันน์มีชื่อเล่น ว่า "Jancsi" เขาเติบโตมาในครอบครัวชาวยิวที่ไม่เคร่งครัด และได้แสดงถึงความจำที่เป็นเลิศ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยสามารถทำการหารเลข 8 หลักในใจได้ตอนอายุ 6 ปี. ในปี ค.ศ. 1911 ก็เข้าเรียนที่ Lutheran Gymnasium (ในประเทศเยอรมนี, gymnasium หมายถึง โรงเรียนมัธยมปลาย) พอปี ค.ศ. 1913 เนื่องจากคุณพ่อของเขาได้รับตำแหน่ง (ยศ) เขาจึงได้รับชื่อในภาษาเยอรมัน von จึงใช้ชื่อเต็มเป็น János von Neumann

ผลงาน

เขาเรียนจบปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยบูดาเปส ประเทศฮังการี ตอนอายุ 23 ปี
ระหว่างปี ค.ศ. 1926 ถึง 1930 เขาทำงานเป็น "อาจารย์อิสระ" ("Privatdozent" เป็นตำแหน่งในระบบมหาวิทยาลัยยุโรป สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย ตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือนประจำ) โดยในขณะนั้นเขาเป็นอาจารย์อิสระที่อายุน้อยที่สุดมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
ในปี ค.ศ. 1930 นอยมันน์ได้รับเชิญให้ไปยังเมืองพรินซ์ตัน, รัฐนิวเจอร์ซีย์ และได้เป็นหนึ่งในหกบุคคล (J. W. Alexander, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, Marston Morse, Oswald Veblen, จอห์น ฟอน นอยมันน์ และHermann Weyl) ที่ถูกคัดเลือกเพื่อเป็นอาจารย์ประจำชุดแรกของ Institute for Advanced Study เขาเป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ที่นั่น ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสาขาวิชาในปี ค.ศ. 1933 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเขา.
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นอยมันน์ได้มีส่วนร่วมใน โครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ซึ่งเป็นโครงการสร้างระเบิดปรมาณู
ช่วง ค.ศ. 1936 จนถึง 1938 แอลัน ทัวริง ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปที่สถาบัน และเรียนจบปริญญาเอก โดยมีนอยมันน์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครั้งนี้ของทัวริง เกิดขึ้นหลักจากที่เขาได้ดีพิมพ์บทความวิชาการ "On Computable Numbers with an Application to the Entscheidungs-problem" ในปี ค.ศ. 1934 ได้ไม่นาน. งานตีพิมพ์นี้ เกี่ยวข้องกับ หลักการของ logical design และ universal machine. ถึงแม้จะเป็นที่แน่ชัดว่า นอยแมนรู้ถึงแนวความคิดของทัวริง แต่ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เขาได้ใช้หลักการของทัวริง ในการออกแบบเครื่อง IAS ที่ถูกสร้างในเวลา 10 ปีต่อมา
นอยมันน์นั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็น บิดาของทฤษฎีเกม (game theory). เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ Theory of Games and Economic Behavior โดยร่วมเขียนกับ Oskar Morgenstern ในปี ค.ศ. 1944 เขาได้คิดหลักการ "MAD" (mutually assured destruction) อาจแปลไทยได้เป็น "รับรองได้ว่าเจ๊งไปด้วยกันทั้งคู่แน่" ซึ่งเป็นหลักการซึ่งใช้เป็นหลักสำคัญ ในการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา ในช่วงสงครามเย็น
นอยมันน์เป็นคนคิด สถาปัตยกรรมแบบ ฟอน นอยมันน์ ซึ่งใช้กันในคอมพิวเตอร์ (แบบที่ไม่ได้ประมวลผลแบบขนาน) ส่วนใหญ่ พูดได้ว่า คอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมดในโลกนี้ เป็นเครื่องจักรแบบ ฟอน นอยมันน์ เขาเป็นผู้ริเริ่มสาขา cellular automata และได้สร้างตัวอย่างชุดแรกของ self-replicating automata โดยใช้แค่กระดาษกราฟ กับ ดินสอธรรมดาๆ (ไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยเลย) คำว่า เครื่องจักรแบบ ฟอน นอยมันน์ ยังหมายความถึง เครื่องจักรที่สร้างตนเองซ้ำได้ (self-replicating machine)
นอยมันน์ได้พิสูจน์ว่า การใช้เครื่องจักรที่สร้างตนเองซ้ำได้ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการทำเหมืองขนาดใหญ่มากๆ อย่างการทำเหมืองบนดวงจันทร์ หรือ แถบดาวเคราะห์น้อย เนื่องจากกลไกแบบนี้จะมีการเติบโตเป็นแบบเลขชี้กำลัง คิดกาพเก่า






J. Dr. Ted Hoft
มาร์เชีเอ็ดเวิร์ด "เท็ด" ฮอฟฟ์จูเนียร์ (เกิด 28 ตุลาคม 1937 ใน โรเชสเตอร์, นิวยอร์ก ) เป็นหนึ่งในผู้คิดค้น ไมโครโปรเซสเซอร์

ประวัติการศึกษาและการทำงาน 

เขาได้รับการ ศึกษาระดับปริญญาตรี ใน ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จาก สถาบัน Rensselaer Polytechnic Institute ในปี 1958 และเขานำมาใช้สำหรับสิทธิบัตรของเขาสองคนแรกที่ขึ้นอยู่กับงานที่ทำสำหรับสัญญาณทั่วไปรถไฟคอร์ปของ โรเชสเตอร์, นิวยอร์ก ในช่วงฤดูร้อนของการศึกษาระดับปริญญาตรีของเขา. [ อ้างอิง จำเป็น ] นั้นเขาก็ได้รับ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สมาคมลงทะเบียนเรียนใน มหาวิทยาลัย ซึ่งเขาได้รับเขา ปริญญาโท ในปี 1959 และ ปริญญาเอก ในปี 1962. [ อ้างอิงที่จำเป็น ] เป็นส่วนหนึ่งของปริญญาเอกของเขา วิทยานิพนธ์ฮอฟฟ์ร่วมคิดค้น น้อยสแควร์หมายถึงตัวกรอง กับ เบอร์นาร์ด 
ฮอฟฟ์เข้าร่วม Intel ในปี 1968 ในขณะที่จำนวนพนักงาน 12, และให้เครดิตกับที่มากับความคิดของการใช้ "ประมวลผลสากล" มากกว่าความหลากหลายของวงจรที่กำหนดเองที่ออกแบบสถาปัตยกรรมในความคิดและการเรียนการสอนชุดสูตร สแตนลี่ย์ Mazor ในปี 1969 สำหรับ อินเทล 4004 - ชิปที่เริ่มต้น ไมโครโปรเซสเซอร์ การปฏิวัติในช่วงต้นปี 1970 [3] การพัฒนาวิธีการออกแบบซิลิคอนประตูและออกแบบชิปที่เกิดขึ้นจริงทำโดย Federico Faggin , ในช่วง 1970 - 1971
ในปี 1985 ฮอฟฟ์เป็นชื่อที่เพื่อนของอินเทลเป็นครั้งแรกซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในทางเทคนิค บริษัท . [ อ้างอิงที่จำเป็น ] เขาอยู่ในตำแหน่งนั้นจนกว่า 1988. [ อ้างอิงที่จำเป็น ]

วัฒนธรรมยอดนิยม 

ดร. ฮอฟฟ์เป็นจุดเด่นในการโฆษณาอินเทลเรียกเขาว่า "ดาวหิน" ของ Intel และเปรียบเทียบกับดาวร็อคของวัฒนธรรมอเมริกัน. [ อ้างอิงที่จำเป็น ]

รางวัล

ในปี 1954 เขาเป็นหนึ่งในค้นหาเวสติวิทยาศาสตร์ Talent (ตอนนี้ เอสที Intel ) เข้ารอบ [ เขาได้รับรางวัล เหรียญ Ballantine จวร์ต ในปี 1979, รางวัล IEEE Cledo Brunetti ในปี 1980 และ รับรองแฟรงคลินสถาบันแห่งบุญ ในปี 1996 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เข้าสู่หอเกียรติยศนักประดิษฐ์ในปี 1996 และได้รับ เหรียญแห่งชาติของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ในปี 2009 จากประธานาธิบดี บารัคโอบามา . เขาเป็นเพื่อนของ คอมพิวเตอร์ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ในปี 2009 [8] เขาได้รับ 2011 IEEE / RSE วูลฟ์เสมียนรางวัลเจมส์แมกซ์เวล . 






K. Steve Jobs & Steve Wozniak

   


สตีเฟนพอล "สตีฟ" งาน ( 24 กุมภาพันธ์ 1955 - 5 ตุลาคม 2011)  เป็นอเมริกัน ผู้ประกอบการ  และนักประดิษฐ์,  ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ร่วม ผู้ก่อตั้งประธานและซีอีโอของ แอปเปิ้ลอิงค์ผ่านแอปเปิ้ลเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้บุกเบิกเสน่ห์ของ การปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล  และสำหรับการประกอบอาชีพที่มีอิทธิพลของเขาในคอมพิวเตอร์และ อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค เขตข้อมูลเปลี่ยน "อุตสาหกรรมหนึ่งหลังจาก อีกจากเครื่องคอมพิวเตอร์และมาร์ทโฟนเพลงและภาพยนตร์. "  งานยังร่วมก่อตั้งและทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของ พิกซาร์สตูดิโอแอนิเมชั่ ; เขากลายเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของ บริษัท วอลต์ดิสนีย์ ในปี 2006 เมื่อ ดิสนีย์พิกซาร์ที่ได้มา เป็นหนึ่งในงานแรกที่จะเห็นศักยภาพในเชิงพาณิชย์ของ Xerox PARC ของ เมาส์ ที่ขับเคลื่อนด้วย อินเตอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก ซึ่งนำไปสู่การสร้าง แอปเปิ้ลลิซ่า และหนึ่งปีต่อมา Macintosh . นอกจากนี้เขายังมีบทบาทในการแนะนำ LaserWriter ซึ่งเป็นหนึ่งในครั้งแรกที่สามารถใช้ได้อย่างกว้างขวางเครื่องพิมพ์เลเซอร์ในตลาด 
หลังจากการต่อสู้กับอำนาจของคณะกรรมการ บริษัท ในปี 1985 งานออกจากแอปเปิ้ลและผู้ก่อตั้ง NeXT , คอมพิวเตอร์แพลตฟอร์ม การพัฒนา บริษัท ที่เชี่ยวชาญในการตลาดที่สูงกว่าการศึกษาและธุรกิจ ในปี 1986 เขาได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกราฟิกของ ลูคัสฟิล์ม ซึ่งถูกหมุนออกเป็น พิกซาร์ เขาได้รับการยกย่องใน Toy Story (1995) ในฐานะผู้อำนวยการผลิต เขาทำหน้าที่เป็นซีอีโอและผู้ถือหุ้นเสียงข้างมากจน ดิสนีย์ ซื้อ 'ของพิกซาร์ในปี 2006ในปี 1996 หลังจากที่แอปเปิ้ลล้มเหลวในการส่งมอบระบบปฏิบัติการของ Copland , Gil Amelio หันไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ถัดไปและ NeXTSTEP แพลตฟอร์มกลายเป็นรากฐานสำหรับ Mac OS X . [ งานกลับไปยังแอปเปิ้ลเป็นที่ปรึกษาและใช้การควบคุมของ บริษัท เป็นซีอีโอระหว่างกาล งานนำแอปเปิ้ลจากการล้มละลายที่อยู่ใกล้กับการทำกำไรโดยปี 1998 
ในฐานะที่เป็นซีอีโอคนใหม่ของ บริษัท งานคุมการพัฒนาของ iMac , iTunes , iPod , iPhone และ iPad และในด้านการให้บริการของ บริษัท แอปเปิ้ลร้านค้าปลีก , ใน iTunes Store และ App Store ของ . [ความสำเร็จของ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้และการให้บริการหลายปีของการตอบแทนทางการเงินที่มั่นคงและผลักดันให้แอปเปิ้ลที่จะกลายเป็น บริษัท ที่ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของโลกที่มีค่าที่สุดในปี 2011 reinvigoration ของ บริษัท ได้รับการยกย่องกันหลายคนเป็นหนึ่งในการฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของธุรกิจ 
ในปี 2003 งานวินิจฉัยว่าเป็นโรค ตับอ่อน เนื้องอก neuroendocrine . แม้ว่ามันจะได้รับการรักษาในขั้นต้นเขารายงานความไม่สมดุลของฮอร์โมนเปลี่ยนไปปลูกถ่ายตับในปี 2009 และปรากฏความก้าวหน้าทินเนอร์เป็นสุขภาพของเขาลดลง  ในทางการแพทย์ออกให้มากที่สุดของปี 2011 งานลาออกในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วและได้รับเลือกตั้งเป็นประธาน ของคณะกรรมการ เขาเสียชีวิตจากการหยุดหายใจที่เกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายของเนื้อร้ายเนื้องอกของเขาเมื่อ 5 ตุลาคม 2011
งานที่ได้รับเป็นจำนวนมากได้รับเกียรตินิยมและการรับรู้ของประชาชนสำหรับอิทธิพลของเขาในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการดนตรี เขาได้รับการเรียกว่า "ตำนาน", "ลัทธิ" หรือแค่ "ฝัน", และได้รับการอธิบายว่าเป็น "บิดาแห่งการปฏิวัติดิจิตอล"  "ครูของนวัตกรรม"  "ศาสนาหลักของยุคดิจิตอล และ "สมบูรณ์แบบการออกแบบ" 

ผลงาน

1.Apple I (1976)
2.Apple II (1977)
3.Lisa (1983)
5.NeXT Computer (1989)
6.iMac (1998)
7.iPod (2001)
8.iTune Store (2003)
9.iPhone (2007)
10.iPad (2010)

















I.Bill Gates




ยม เฮนรี เกตส์ ที่สาม (เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955) หรือที่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ บิล เกตส์ เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคนอื่น ๆ ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ) เขาได้ร่วมกับพอล แอลเลน ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้น ซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้ บิล เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน (KBE) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2

ประวัติ


บิลและเมลินดา เกตส์
บิล เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ชื่อเต็มของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์
เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิล เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมา บิล เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1
ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นโปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสต์ทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟรนช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)
ในปี ค.ศ. 1994 บิล เกตส์ได้ม้วนกระดาษไลเชสเตอร์ ซึ่งรวบรวมงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชีมาไว้ในครอบครอง และในปี ค.ศ. 2003 ได้นำม้วนกระดาษนี้ออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองซีแอทเทิล
ในปี ค.ศ. 1997 เกตส์ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการขู่กรรโชกทรัพย์อันแปลกประหลาด ของนายอดัม ควินน์ เพลตเชอร์ ชาวเมืองชิคาโก ซึ่งเกตส์ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าว เพลตเชอร์ถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 และถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 เกตส์ถูกนายโนเอล โกดังจู่โจมด้วยการปาขนมพายหน้าครีมใส่ ระหว่างการไปปรากฏตัวที่ประเทศเบลเยียม
ตามรายงานของนิตยสารฟอบส์ เกตส์ได้บริจาคเงินให้การรณรงค์หาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 2004 และตามรายงานของศูนย์เฝ้าระวังทางการเมือง เกตส์ถูกระบุว่าบริจาคเงินอย่างน้อย 33,335 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับการรณรงค์หาเสียงมากกว่า 50 ครั้ง ตลอดฤดูกาลเลือกตั้งในปีค.ศ. 2004
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2004 บิล เกตส์ ได้ร่วมกับคณะกรรมการบริหารของ Berkshire Hathaway เพื่อสานความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างเขากับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ Berkshire Hathaway เป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอา บริษัทประกันภัยไกโค Benjamin Moore (บริษัทสี) และ Fruit of the Loom (บริษัทสิ่งทอ) เข้าไว้ด้วยกัน เกตส์ยังได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารของ Icos ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของ Bothell
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2005 สำนักวิเทศสัมพันธ์ของสหราชอาณาจักรได้ประกาศว่า บิล เกตส์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนที่ต่อสิ่งเขาได้อุทิศให้กับบริษัทในสหราชอาณาจักร และความพยายามของเขาในการลดปัญหาความยากจนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นบุคคลสัญชาติในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เขาจึงไม่สามารถใช้คำนำหน้าว่า เซอร์ ได้ แต่เราต้องใส่อักษร "KBE" (Knight Commander of The British Empire) ตามหลังชื่อของเขา